วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประเดิมลงพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งนอกจากจะเป็นการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาความยากจนให้หมดไปในปี 2561


นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประเดิมลงพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งนอกจากจะเป็นการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาความยากจนให้หมดไปในปี 2561 ยังถือว่าเป็นอีกแผนประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาลตรงถึงประชาชน

วันนี้ (17 ม.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นี่น่าจะเป็นภาพที่จะได้เห็นชินตา แทบทุกครั้งสำหรับการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ซึ่่งมีกำหนดจะลงพื้นที่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาตามนโยบาย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งถือเป็นธงหลักของรัฐบาล คสช.ในช่วง 1 ปีสุดท้ายก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง แม้จะยืนยันทุกเวที รวมถึงการลงพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ในครั้งนี้ว่า เป็นการมาพบประชาชนที่เปรียบเหมือนครอบครัว ไม่ใช่การมาหาเสียง แต่อดถามชาวบ้านไม่ได้ถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า
สำหรับการลงพื้นที่ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ นำรัฐมนตรีที่รับผิดชอบขับเคลื่อนงานตามนโยบายลงพื้นที่ไปด้วยแบบพร้อมเพรียง รวมถึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ส่วนที่เลือก จ.แม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่แรก เพราะเป็นพื้นที่ที่ประชาชนมีรายได้เฉลี่ยต่อปี อยู่ลำดับที่ 73 ของประเทศ และมีจำนวนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน หรือที่เรียกว่าเส้นแบ่งความยากจน 2,080 ครัวเรือน ซึ่งถือว่ามากเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ

มีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีนำคณะลงพื้นที่รับฟังความเห็นเพื่อวางแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ำ ตามแนวทางประชารัฐ หวังยกระดับรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชาวแม่ฮ่องสอน หลุดพ้นจากจังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดในประเทศ ทั้งการรับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะจากชาวแม่ฮ่องสอน 6 กลุ่มอาชีพ โดยหวังจะให้การแก้ปัญหาในพื้นที่นี้ เป็นโมเดลในการแก้ปัญหาในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป

แหล่งข้อมูล Thai PBS

นายกฯยันมุ่งปกป้องสิทธิมนุษยชนวอนเป็นธรรม

นายกรัฐมนตรี ยันส่งเสริมปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล วอนเป็นธรรม ย้ำรัฐบาลปราบปราบการค้ามนุษย์ คืนผู้เสียหายสู่สังคม
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่องค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์เผยแพร่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปี 2018 โดยละเลยการนำเสนอความก้าวหน้าของไทยในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่กลับมุ่งนำเสนอข้อมูลด้านลบ โดยเฉพาะปัญหาการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมง ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบเรื่องนี้แล้ว โดยย้ำว่ารัฐบาลได้ประกาศวาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ปี 2561 - 2562 เพราะเห็นว่าเรื่องการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลยังได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติและยกร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ออกนโยบายเร่งรัดกระบวนการไต่สวนในคดีความต่างๆ จัดตั้งกองทุนยุติธรรมและกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อฟื้นฟูเยียวยา จ่ายเงินชดเชย และคืนผู้เสียหายสู่สังคม ปรับนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยเน้นด้านสุขภาพ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้พลัดถิ่นมากกว่า 1 ล้านคนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา จดทะเบียนแรงงานต่างด้าวกว่า 1 ล้านคน เพื่อคุ้มครองและสนับสนุนให้แรงงานเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการด้านต่างๆ ของรัฐ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ทุกคนและทุกองค์กรก็จะต้องเคารพหลักนิติธรรม สิทธิของผู้อื่นหรือประเทศอื่น โดยดำเนินงานอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ไม่มีวาระซ่อนเร้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และเกิดความร่วมมือที่ดีขึ้นในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล

วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

นายกฯปัดปชต.ไทยนิยมเอื้อประโยนชน์ติงบิดเบือน


นายกรัฐมนตรี เผย มีคนบิดเบือนแนวทางไทยนิยมปัดเอื้อประโยนชน์ ยกศาสตร์พระราชานำสร้างสามัคคีปรองดอง ยึดโมเดลลดความยากจน บอกทำแผนปฏิรูป 11 ด้านเสร็จแล้วสอดรับแผนยุทธศาสตร์ชาติ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยกล่าวถึงเหตุระเบิดภายในตลาดสดรถไฟพิมลชัย เทศบาลนครยะลา ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานกำลังใจ ดอกไม้ และสิ่งของพระราชทาน แก่ครอบครัวผู้สูญเสีย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างความปลาบปลื้มและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงห่วงใยอย่างหาที่สุด
ทั้งนี้ ตนเองขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ และขอประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมในครั้งนี้ด้วย จึงได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่ พร้อมให้ฝ่ายความมั่นคง เร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อนำไปใช้ในการติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว ซึ่งขณะนี้ ก็ถือว่ามีความคืบหน้า และกำลังสอบสวนขยายผลจากผู้ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม ขอให้เชื่อมั่นเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ เพื่อรักษาความสงบสุขของประชาชน ให้กลับคืนมาโดยเร็ว รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชน ช่วยกันสอดส่องดูแล เป็นหูเป็นตา และแจ้งข้อมูลเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่รวมทั้งให้ตรวจสอบกล้อง CCTV ทั้งหมดให้ใช้การได้ตลอดเวลา

นายกฯเผยมีคนบิดเบือนแนวทางไทยนิยมปัดเอื้อโยชน์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า การจะมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้หรือไม่ สิ่งสำคัญคือหน้าที่พลเมือง และการเคารพกฎหมาย เพราะจะเป็นสิ่งสะท้อนถึงระดับความเป็นประชาธิปไตยในสังคมมีมาก-น้อยเพียงใด พร้อมยังได้ชี้แจงคำว่าไทยนิยม ว่า ไม่ใช่การสร้างกระแสชาตินิยม เหมือนที่บางคนไม่เข้าใจ และพยายามบิดเบือน แต่สำหรับสถานการณ์ของประเทศในวันนี้ เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ที่ต้องการการปฏิรูปที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นไทย และไม่ทิ้งหลักสากล
อีกทั้งยังระบุว่า ไทยนิยม เป็นการต่อยอดขยายผลจาก ประชารัฐ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วม การรับผิดชอบร่วม และรัฐบาลจะแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาควิชาการ ทำให้เกิดเป็น "3 ประสาน ก็คือ ราษฎร์, รัฐ และ เอกชน" ซึ่งยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใคร เพราะทุกคนนั้นอยู่ในห่วงโซ่เศรษฐกิจ ที่จะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและสร้างการพัฒนาได้อย่างยั่งยืนด้วยกลไก ประชารัฐ และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นมรดกของชาติ มาเป็นหลักคิดสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ

นายกฯยกศาสตร์พระราชานำสร้างสามัคคีปรองดอง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า สำหรับการสร้างความสามัคคีปรองดอง จะต้องน้อมนำศาสตร์พระราชา ด้วยการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เพื่อจะมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์และนำพาประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักของการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง และสิ่งสำคัญไทยติดกับดักการเมือง ที่มีมากกว่าประเทศอื่น จึงต้องแก้ไขให้ได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ การพัฒนาประเทศในยุคดิจิทัลตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นั้น จะต้องให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม ในมิติวัฒนธรรม ความเป็นไทย ตามหลักคิดไทยนิยม และโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพของประเทศ ไปพร้อมๆ กัน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงาน ชลประทาน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ประเทศของเราไม่ได้ร่ำรวยมากนัก จนสามารถลงทุนทุกอย่างได้ ตามที่ต้องการ ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น จำเป็นต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ มีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ปัจจุบันแม้เราจะกำหนดเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแล้ว (SEZ) ไว้ทุกภูมิภาคของประเทศ จำนวน 10 แห่ง และรัฐบาลก็คงให้ความสำคัญ กับมาตรการการดูแลผู้มีรายได้น้อย ตามโมเดลลดความยากจนด้วย

นายกฯบอกทำแผนปฏิรูป11ด้านเสร็จแล้วจ่อรับฟังความเห็น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า ในส่วนของการปฏิรูปประเทศ ได้จัดทำร่างแผนปฏิรูปประเทศเสร็จเรียบร้อยในขั้นต้นแล้ว ทั้ง  11 ด้าน ได้แก่ ด้านการเมือง, ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน, ด้านกฎหมาย, ด้านกระบวนการยุติธรรม, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ด้านสาธารณสุข, ด้านสังคม, ด้านพลังงาน, ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติมีเป้าหมาย หรือผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจนรวมทั้ง มีตัวชี้วัด ประเมินผลสำเร็จตามระยะเวลาได้ 
ทั้งนี้ ในหลายประเด็นปฏิรูป อาจต้องมีการปรับโครงสร้าง กระบวนการทำงานของส่วนราชการ ข้าราชการ ที่เกี่ยวข้องมากมายที่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
สำหรับขั้นตอนต่อไป จะมีการเสนอร่างแผนปฏิรูปให้กับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณารวมถึง การรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และขั้นตอนอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะได้มีการประชาสัมพันธ์เป็นระยะๆ
แหล่งข้อมูล http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=838088

วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียเช้าวันนี้

นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียเช้าวันนี้(25 ม.ค.) ก่อนร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 25 ปี อาเซียน-อินเดีย




นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียเช้าวันนี้(25 ม.ค.) ก่อนร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 25 ปี อาเซียน-อินเดีย

ภารกิจวันที่สองของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยก่อนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 25 ปี อาเซียน-อินเดีย ที่กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ในเวลา 09.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลา 11.00 น. ตามเวลาประเทศไทย นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการหารือทวิภาคีกับนายนเรนทร โมดี (Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย ที่เรือนรับรองรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย (Hyderabad House) และจะร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ที่นายราม นาถ โกวินทร์ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย เป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำอาเซียนที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ที่ราษฎร์ปติภาวัน ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย

จากนั้นในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) ของการประชุมสุดยอดอาเซียน – อินเดีย ในหัวข้อ “ความร่วมมือด้านทะเลและความมั่นคง” (Maritime Cooperation and Security) รวมถึงจะร่วมงานเปิดตัวตราไปรษณียกรที่ระลึก (Commemorative Stamps)ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน – อินเดีย และการประชุมเต็มคณะในหัวข้อ “ค่านิยมร่วมกัน เป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน” (India-ASEAN Shared Values, Common Destiny) โดยภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีและภริยา จะร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย เป็นเจ้าภาพเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำประเทศที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย

แหล่งข้อมูล สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

รองนายกรัฐมนตรีระบุภายในเดือนมีนาคมนี้ จะสามารถแก้ปัญหาและตอบข้อสงสัยของ EU เรื่องการทำประมงผิดกฎหมายและแรงงานภาคประมง


พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU ว่า รัฐบาลได้ดำเนินการมาโดยตลอด เช่นเดียวกับปัญหาแรงงานภาคประมง ซึ่งการแก้ปัญหาก็คืบหน้าไปมาก แต่ก็จะต้องแก้ปรับปรุงแก้ไขต่อไป ซึ่งประเด็นที่ EU ยังติดค้างอยู่ยังเหลืออีกไม่กี่ประเด็น ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จได้ปลายเดือนมีนาคมนี้ เช่น กฎหมายระดับกระทรวง น่าจะแก้ไขเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนการติดตามเรือประมงที่ชำรุด สูญหาย ก็จะต้องมีเอกสารหลักฐานมายืนยันให้ชัดเจน โดยประเด็นข้อสงสัยทุกเรื่องน่าจะแก้ปัญหาให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้



แหล่งข้อมูล สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

23 ม.ค.61 1550 น. นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา




23 ม.ค. 61 เวลา 15.50 น. ที่ท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมภริยาเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดีย โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศ และเดินทางถึงท่าอากาศยานกองทัพอากาศปาลาม  กรุงนิวเดลี ในเวลา 19.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ในวันเดียวกัน  (เวลาไทยเร็วกว่าเวลาที่อินเดีย ประมาณ 1ชั่วโมง 30 นาที)  เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย และรับเชิญเป็นแขกเกียรติยศร่วมกับผู้นำอาเซียน ในงานวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย ครั้งที่ 69   ระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2561 ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย 
โดยมีผู้บริหารระดับสูงในคณะรัฐมนตรีเดินทางด้วย ได้แก่ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ   นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยังยืน 
ทั้งนี้ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยถึงการปฏิบัติภารกิจของนายกรัฐมนตรี ว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม เวลา 09.30 -10.00 น . นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับนายนเรนทร  โมที (Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย ณ เรือนรับรองรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย (Hyderabad House)  เวลา 12.15 น.นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน 
ซึ่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดียเป็นเจ้าภาพเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำที่เข้าร่วมการประชุมฯ  ณ ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย (ราษฎร์ปติภาวัน)  และเวลา 13.50 น.เข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) ของการประชุมสุดยอดอาเซียน – อินเดียในหัวข้อ “ความร่วมมือด้านทะเลและความมั่นคง”  (Maritime  Cooperation and Security)  หลังจากนั้น เวลา  17.45 น.  นายกรัฐมนตรีอินเดียและผู้นำอาเซียนร่วมงานเปิดตัวตราไปรษณียกรที่ระลึก (Commemorative Stamps) ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน – อินเดีย 
ต่อมา เวลา 18.00 น. การประชุมเต็มคณะ (Plenary) ของการประชุมสุดยอดอาเซียน – อินเดีย ในหัวข้อ “ค่านิยมร่วมและเป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน”  (India-ASEAN Shared Values, Common Destiny)  ในช่วงเย็น เวลา 19.30 น.นายกรัฐมนตรีและภริยาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียเป็นเจ้าภาพเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำประเทศที่เข้าร่วมการประชุมฯ 
พล.ท.วีรชน กล่าวว่า วันศุกร์ที่ 26 มกราคม เวลา 10.00 น.นายกรัฐมนตรีร่วมกับผู้นำอาเซียน ร่วมงานพาเหรดในโอกาสวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย ครั้งที่ 69 ที่เข้าร่วมการประชุมฯ เมื่อเสร็จสิ้นงาน เวลา 14.30 น.นายกรัฐมนตรีเดินทางออกจากท่าอากาศยานกองทัพอากาศปาลาม  เวลา 20.10 น.เดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2  กองบิน 6 กองทัพอากาศ กรุงเทพฯ
แหล่งข้อมูล แนวหน้า http://www.naewna.com/politic/316328

ครม.ส่งเสริมให้มีบุตรคนที่ 2

มติ ครม.เห็นชอบมาตรการทางภาษี ส่งเสริมให้มีบุตรคนที่ 2 หักค่าลดหย่อนได้เพิ่ม 30,000 บาท รองรับสังคม ผู้สูงวัยสุดยอด ปี 2579

วันนี้ (16 ม.ค.) นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ มาตรการทางภาษี สนับสนุนการมีบุตร ตั้งแต่คนที่ 2 เป็นต้นไป โดยกระทรวงการคลัง เสนอว่า เนื่องจาก มีอัตราการเกิดลดลง จำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น โดยในปี 2579 หรืออีก 18 ปี จะมีผู้สูงอายุ ร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด
จึงเห็นควรส่งเสริมการมีบุตรมากขึ้น โดยปรับค่าลดหย่อนทางภาษี ตั้งบุตรคนที่ 2 ที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่เกิดในปี 2561 เป็นต้นไป เพิ่ม 30,000 บาทต่อคน จากเดิมที่สรรพากรได้หักลดหย่อนบุตร ได้คนละ 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
ขณะที่ ผู้มีเงินได้ หรือ คู่สมรส สามารถนำค่าฝากครรภ์ และค่าคลอดบุตร มาหักลดหย่อนได้ตามการจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง คาดว่ารัฐบาลจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้ไปประมาณ 2,500 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้บริษัท ห้างหุ้นส่วน จัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็ก ให้มากขึ้น โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักรายได้ ได้เป็น 2 เท่า แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 – 31 มกราคม 2563 เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้นายจ้าง จัดให้มีศูนย์รับเลี้ยงเด็ก ในที่ทำงาน เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง
โดยจากข้อมูล จากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. พบว่า ในเดือน กันยายน 2560 มีสถานประกอบการ ทั้งสิ้น 440,000 แห่ง แต่มีสถานประกอบการที่จัดให้มีศูนย์รับเลี้ยงเด็ก เพียง 82 แห่ง คาดว่า จะทำให้รัฐ สูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี 20 ล้านบาทต่อปี
อีกทั้ง ครม.ยังเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอให้ผู้ที่บริจาคเงินให้กับ สถานพยาบาลของทางราชการ จะได้จาก 1 เท่าเป็น 2 เท่า ของจำนวนเงินที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนอื่นๆ แล้ว “ทางกระทรวงที่เสนอ กระซิบมาว่า คิดมาตรการนี้ก่อนที่ พี่ตูนจะวิ่ง แต่ไม่ทัน” นายณัฐพร กล่าว
ขณะที่ วันนี้ ครม.เห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท คาดว่า จะส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาวาระแรก ในวันที่ 7 มิ.ย. และนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ในวันที่ 7 กันยายน พร้อมเห็นชอบร่าง พระราชบัญญัติงบกลางปี 2560 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ส่ง สนช.วาระแรก 22 มีนาคม และคาดว่า จะนำทูลเกล้าฯ 30 มีนาคม
ข้อมูลจาก Sanook http://news.sanook.com/4997118/

ครม.ไฟเขียวแพ็คเกจลดหย่อนภาษีหนุนคนไทยมีลูกเพิ่ม


ครม.ไฟเขียวมาตรการภาษีเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรคนที่ 2 จูงใจคนไทยมีลูกเพิ่ม ส่วนการบริจาคทรัพย์สินให้โรงพยาบาลลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 2 เท่า
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวันนี้ว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการมีบุตร โดยให้ปรับเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่คนที่ 2 เป็นต้นไป ของผู้มีเงินได้หรือของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ซึ่งเกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป โดยให้หักลดหย่อนได้เพิ่มอีก 30,000 บาท รวมเป็น 60,000 บาท ต่อคนต่อปีภาษี และให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี 61 ที่จะต้องยื่นรายการในปี 62
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรส สามารถนำค่าฝากครรภ์หรือค่าคลอดบุตรไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริงสำหรับการตั้งครรภ์ไม่เกิน 60,000 บาท โดยมาตรการดังกล่าวนั้น เพื่อรองรับโครงสร้างของประเทศที่ปรับเปลี่ยนเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากตัวเลขพบว่า ในปี 2579 ประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดที่มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุถึง 30% โดยมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้รัฐสูญรายได้ประมาณปีละ 2,500 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมครม.ยังได้เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเป็นสวัสดิการของลูกจ้าง สำหรับสถานประกอบการของบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กในสถานประกอบการมาหักเป็นรายจ่ายได้ตามที่จ่ายจริงและสามารถหักได้เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานให้แก่ลูกจ้าง และถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของลูกจ้างด้วย โดยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในรอบระยะบัญชีที่เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2561-31 ธันวาคม 2563
โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าว จะส่งผลให้รัฐสูญรายได้ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หรือไม่เกิน 60 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีของมาตรการดังกล่าว
นายณัฐพร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ยังได้อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการบริจาคเพื่อการดำเนินงานของสถานพยาบาล โดยคาดว่ามาตรการนี้จะมีผลต่อการจัดเก็บภาษีลดลงเพียงเล็กน้อย แต่มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐในด้านสาธารณสุข สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานพยาบาลนั้น จะให้บุคคลธรรมดา หักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่นๆ
ขณะที่บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้หักเป็นรายจ่ายได้เป็น 2 เท่าของการบริจาค ไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่เป็นการจ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว ต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศล สาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์

ขอทหารทุกนาย สนับสนุนภารกิจรัฐบาล ย้ำสามัคคีมีวินัยซื่อสัตย์

19 ม.ค.61


"พล.ท.สรรเสริญ" เผย "หัวหน้า คสช." ขอทหารทุกนาย สนับสนุนภารกิจรัฐบาล ย้ำสามัคคีมีวินัยซื่อสัตย์
เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 61 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ให้กำลังใจกำลังพลของกองทัพไทย เนื่องในวันกองทัพไทย เมื่อ 18ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันสำคัญของชาติไทย ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกอบพระมหาวีรกรรมกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะ เมื่อปี พ.ศ.2135 โดยขอให้กำลังพลและครอบครัว มีความสุขความเจริญ เป็นกำลังสำคัญของกองทัพไทยในการดำรงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน สืบไป
“นายกฯ รู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งเมื่อถึงวันกองทัพไทย เพราะประเทศชาติของเรามีพระมหากษัตริย์และบรรพชนที่ยอมสละชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองจนถึงปัจจุบัน เป็นแบบอย่างให้ทหารทั้งหลายสืบทอดกันต่อมา” โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้ขอให้ทหารทุกนายตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบต่อชาติ ร่วมแรงร่วมใจกันพิทักษ์รักษาสถาบันหลัก ดำรงไว้ซึ่งอธิปไตยและผลประโยชน์ชาติ สนับสนุนภารกิจของรัฐบาลในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง รวมทั้งดำเนินชีวิตด้วยความพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ และปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างเคร่งครัด
ข้อมูล กรุงเทพธุรกิจ

วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

เผยคำสั่งคสช.53/60 แก้กฎหมายพรรคการเมืองซ่อนกล ต้นตอยืด 90 วัน เลื่อนเลือกตั้ง ก.พ.62


วันท่ 19 ม.ค. รายงานข่าวจากรัฐสภาแจ้งว่า มติให้ปรับแก้ มาตรา 2 ในร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ให้มีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในราชกิจานุเบกษา 90 วัน ของกมธ.เสียงข้างมากสนช. เพื่อให้สอดคล้องตามคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 เรื่องการแก้ไขพ.ร.บ.ว่าด้วย พรรคการเมืองนั้น เกิดจากสมาชิกสนช.พิจารณาคำสั่งดังกล่าวแล้วเห็นว่า หากกำหนดให้พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มีผลใช้บังคับทันที เมื่อประกาศในราชกิจานุเบกษา อาจขัดกับคำสั่งคสช.ที่ 53/2560
เนื่องจาก ข้อ 1 ของคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 ระบุให้แก้ไขมาตรา 141 (4) ของพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยกำหนดว่า การจัดประชุมใหญ่ของพรรค เพื่อแก้ไขข้อบังคับ ตลอดจนเลือกกรรมการบริหารพรรค ให้ดำเนินการภายใน 90 วัน นับจากวันที่ยกเลิกประกาศคสช. ฉบับที่ 57/2557 และคําสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558
ส่วนข้อ 8 ของคำสั่งคสช. ที่ 53/2560 ระบุว่า การจะยกเลิกคำสั่งคสช.ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมของพรรค ให้ครม.เสนอคสช.พิจารณายกเลิก เมื่อพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ประกาศในราชกิจานุเบกษา ดังนั้น หากให้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.บังคับใช้ทันที กรอบเวลาที่พรรคการเมืองต้องทำตามมาตรา 141 (4) ภายใน 90 วัน จะเหลื่อมเวลากับการเลือกตั้ง ที่จะต้องประกาศภายใน 150 วันทันทีที่กฎหมายลูกทั้ง 4 ฉบับประกาศใช้
รายงานข่าวแจ้งว่า หากวันที่ 25 ม.ค.นี้ ที่ประชุมใหญ่ลงมติเห็นชอบตามที่กมธ.เสียงข้างมากปรับแก้ให้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจานุเบกษา 90 วัน จะส่งผลให้โรดแม็ปเลือกตั้งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ประกาศจะมีในเดือนพ.ย.นี้ จะเลื่อนออกไปยังต้นปี 2562 ทันที เพราะโรดแม็ปที่พล.อ.ประยุทธ์ให้สัญญาไว้ เป็นไปตามกำหนดกรอบเวลา
การพิจารณากฎหมายของสนช. ที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และพ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. จะประกาศใช้อย่างช้าในเดือนมิ.ย.นี้ แล้วจึงกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 150 วัน ซึ่งการเลือกตั้งจะอยู่ระหว่างเดือนก.ค.-พ.ย.นี้
ดังนั้น การแก้ไขร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ให้มีผลบังคับใช้ภายหลังประกาศในราชกิจานุเบกษา 90 วัน กรอบเวลากำหนดวันเลือกตั้ง 150 วัน จะเริ่มนับได้ในเดือนก.ย. เมื่อกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้ ทำให้กรอบเวลากำหนดวันเลือกตั้งจะอยู่ระหว่างเดือน ต.ค. 61 – ก.พ. 62
แหล่งข้อมูล ข่าวสด

“พาณิชย์”เฮ! มะกัน เผยรายชื่อตลาดละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงทั่วโลก ยันไม่มีชื่อย่านการค้าไทยแม้แต่แห่งเดียว








นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 ม.ค.61 สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ(USTR) ได้เผยแพร่รายงานทบทวนรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงทั่วโลก ประจำปี 60 ทั้งตลาดที่มีการขายสินค้าละเมิด และตลาดออนไลน์ โดยในปีนี้ ไม่มีชื่อย่านการค้า/ศูนย์การค้าในไทย เป็นตลาดที่มีการละเมิดสูง (Notorious Markets) แม้แต่แห่งเดียว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หรือตั้งแต่ปี 50 ที่ไทยถูกสหรัฐฯจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา (PWL) ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ
“ในปี 59 ตลาด Notorious Markets ของไทยเหลือเพียงแห่งเดียวคือ ศูนย์การค้ามาบุญครอง (MBK) จากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยมี  Notorious Markets มากถึง 13 แห่ง แต่มาปี 60 ไทยไม่มีตลาดขายสินค้าละเมิดหลงเหลืออีกแล้ว เป็นผลจากรัฐบาลได้ปราบปรามการละเมิดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยถูกระบุว่าเป็น Notorious Markets มีการจับกุมกว่า 700 คดี ยึดของกลางเกือบ 150,000 ชิ้น ในช่วงเดือนม.ค.-ก.ย.60”
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 50 – 59 มีย่านการค้า/ศูนย์การค้าที่เคยถูกระบุว่าเป็น Notorious Markets จำนวน 13 แห่ง ได้แก่ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า, คลองถม, สะพานเหล็ก, บ้านหม้อ, ตลาดนัดจตุจักร, MBK, ตลาดนัดถนนวิทยุ, ถนนสุขุมวิท ซอย 3-19, พัฒน์พงษ์, หาดกะรน และหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต, ศูนย์การค้าไอทีซิตี้ พัทยา และตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว สำหรับตลาดที่มีการขายสินค้าละเมิดสูงในโลก ได้แก่ ตลาด Silk Market และ Hongqiao Market ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน รวมถึงแหล่งขายอื่น เช่น อาร์เจนตินา แคนาดา อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี เม็กซิโก สเปน เป็นต้น ส่วนเว็บไซต์ที่ขายสินค้าละเมิดสูง เช่น เว็บไซต์ 1FICHIER.COM, 4SHARED.COM, DHGATE.COM, INDIAMART.COM เป็นต้น
นอกจากนี้ ในรายงานของ USTR ยังได้ชื่นชมถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการของรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สั่งการให้ปราบปรามการละเมิดอย่างจริงจัง จนการละเมิดหมดสิ้นไปในหลายพื้นที่ตั้งแต่เดือนก.ค.60 รวมถึงบูรณาการการดำเนินการอย่างจริงจัง โดยกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ทหาร 3 เหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) เป็นต้น ได้ประสานงานกับเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจนเห็นผลเป็นรูปธรรม 
ขณะเดียวกัน ยังได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อตรวจตราจับกุม ใน 5 ย่านการค้าสำคัญ คือ MBK ตลาดนัดจตุจักร ตลาดโรงเกลือ หาดป่าตอง และหาดกะรน ตลอดจนไดประสานงานกับเจ้าของพื้นที่เพื่อเสริมสร้าง และความเข้าใจให้แก่ผู้ค้า และสอดส่องดูแลมิให้มีการขายสินค้าละเมิดในพื้นที่ของตนด้วย
“การปรับสถานะของไทยออกจากบัญชีPWL เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.60 และไม่มีชื่อตลาดขายสินค้าละเมิดในไทยในรายงาน Notorious Markets ของสหรัฐฯ ถือเป็นสัญญาณที่ยืนยันว่า ไทยมีพัฒนาการในการคุ้มครองและบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการค้าการลงทุนที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย”
Cr.ภาพประกอบจาก www.smartsme.co.th

วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561

คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2


คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 ให้ผู้มีรายได้น้อยที่ร่วมโครงการ ได้รับวงเงินบัตรคนจนเพิ่มเป็น 300 บาท และ 500 บาท เริ่มมีผลเดือนมีนาคม 2561 

          วันอังคารที่ 9 มกราคม 2561 นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน สำหรับค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค ให้กับผู้ที่มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาท/ปี จากเดิมได้เดือนละ 300 บาท ปรับเป็น 500 บาท และผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท/ปี จากเดิมได้เดือนละ 200 บาท เพิ่มเป็น 300 บาท โดยมีเงื่อนไข คือ ต้องเป็นผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 ซึ่งโครงการจะเริ่มมีผลในเดือนมีนาคม-ธันวาคม 2561 คาดว่าจะทำให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์ประมาณ 4.7 ล้านราย 
          โดยที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบหลักการของมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการแต่ละโครงการ พร้อมทั้งเห็นชอบให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินมาตรการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม 6 มาตรการ 18 โครงการ และให้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account:PSA)

          สำหรับงบประมาณที่ ครม. ในการดำเนินโครงการรวมทั้งสิ้น 35,679 ล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณสำหรับโครงการเพื่อรองรับมาตรการการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ไม่เกิน 6,774 ล้านบาท งบประมาณสำหรับธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ไม่เกิน 12,033 ล้านบาท และเป็นงบประมาณสำหรับค่าซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด วงเงินไม่เกิน 13,872 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ
 
         นายณัฐพร กล่าวอีกว่า กระทรวงคลังจะส่งข้อมูลผู้ที่มีบัตรสวัสดิการให้กับคณะกรรมการประจำจังหวัดภายในเดือนมกราคมนี้ จากนั้นผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการพัฒนาตนเอง จะต้องมาพบกับเจ้าหน้าที่ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 แต่หากไม่มาทางเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ไปพบเป็นรายตัวในเดือนเมษายน 2561 

แหล่งที่มา https://money.kapook.com/view186228.html

วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561

วันกองทัพไทย 18 มกราคม 2561

ในวันกองทัพไทย ๑๘ ม.ค. ของทุกปี




นายกฯ ให้กำลังใจกำลังพลเนื่องในวันกองทัพไทย ย้ำให้ตระหนักในหน้าที่ มุ่งปกป้องสถาบันหลักของชาติ และดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม
ซึ่งถือเป็นวันสำคัญของชาติไทย ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกอบพระมหาวีรกรรมกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะ เมื่อปี พ.ศ. 2135 โดยขอให้กำลังพลและครอบครัว มีความสุขความเจริญ เป็นกำลังสำคัญของกองทัพไทย ในการดำรงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน สืบไป

ที่มา: https://www.thairath.co.th/content/1181317




นำผบ.เหล่าทัพ ร่วมพิธีวันกองทัพไทย รำลึกพระมหากรุณาธิคุณ "สมเด็จพระนเรศวรฯ" พร้อมกระทำสัตย์ปฏิญาณ "ธงชัยเฉลิมพล" ยันกองทัพไม่หลงภารกิจ ยึดมั่นปกป้องอธิปไตย รักษาความมั่นคงช่วยเหลือ ปชช.


พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวให้โอวาทตอนหนึ่งว่า วันที่ 18 ม.ค.ของทุกปีเป็นวันสำคัญที่ได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย เนื่องจากเป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้สร้างวีรกรรมอันกล้าหาญและปกปักรักษาแผ่นดินไทย ให้เป็นมรดกตกทอด ถึงพวกเราจนทุกวันนี้ จึงกำหนดให้เป็นวันกองทัพไทยและจัดให้มีพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลของทหารทั้งสามเหล่าทัพขึ้น เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ตลอดจนบรรพชนที่ได้สละเลือดเนื้อและชีวิต ธำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกราชของชาติไทยถือได้ว่าเป็นภารกิจอันสำคัญที่ทหารทุกคนจะต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษไทย

กล่าวย้ำว่า กองทัพไทยมีหน้าที่ปกป้องพิทักษ์รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน ทหารจะทำหน้าที่สำคัญนี้ให้สมบูรณ์ได้ ต้องยึดมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณตน อย่างมั่นคง เทิดทูนและจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไว้ยิ่งชีวิต มีระเบียบวินัย กล้าหาญ มีความสามัคคีเชื่อมั่น ในผู้บังคับบัญชาตนขอชื่นชมทุกท่านที่ร่วมมือร่วมใจ เป็นหนึ่งเดียวปฎิบัติหน้าที่ ด้วยความทุ่มเทเสียสละ จนเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน ตนขอให้เพื่อนทหารทุกท่านดำรงรักษาความดีนี้ไว้

ที่มา: https://www.thairath.co.th/content/1180423


เฮ ‘บัตรคนจน’ กู้ซื้อบ้านได้ 2 ล้าน ของขวัญปีใหม่ 2561


ของขวัญปีใหม่จากรัฐ เข้มก่อกวน-อุบัติเหตุ รัฐบาลใจดีแจกของขวัญปีใหม่ 2561 แก่คนไทย เปิดโอกาสผู้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กู้เงินซื้อบ้านได้ไม่เกิน 2 ล้าน

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1163490

บัตรคนจนแจ็คพอตแตก ยายดวงเฮงรับเงินรางวัล 1 ล้านบาท


(18 ธ.ค.60) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายศักย์ ดาหาร คลังจังหวัดกาฬสินธุ์ ว่าได้รับการประสานจากกระทรวงการคลัง มีประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ชาว ต.นาจารย์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ โชคดีได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท จากการจับสลากรางวัล รูดลุ้นเงินล้าน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำวันที่ 16 ธ.ค.60 จึงติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริง
นายเจนศักดิ์ อาญารัตน์  ปลัดเทศบาลตำบลจารย์กล่าวว่า หลังได้รับการติดต่อจากคลังจังหวัดกาฬสินธุ์ ว่ามีชาวบ้านในพื้นที่ ชื่อ ยายเหน็ง อายุ 66 ปี  เป็นผู้โชคดีจากการจับรางวัลรูดลุ้นเงินล้านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรผู้มีรายได้น้อย จึงได้นำเจ้าหน้าสำนักงานคลังจังหวัดฯ ไปแจ้งข่าวดีให้ทราบเป็นการเบื้องต้นแล้วในตอนสายของวันนี้  ขณะที่ตลอดวันที่ผ่านมา มีญาติพี่น้อง ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลนาจารย์ เดินทางไปแสดงความยินดีกับนางเหน็งตลอดวัน
นางเหน็งกล่าวด้วยความตื่นเต้น และดีใจจนทำอะไรไม่ถูกว่า ไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะเป็นผู้โชคดีได้รับเงินรางวัลดังกล่าว ซึ่งจำนวนมากถึง 1 ล้านบาท และถึงขณะนี้ขนาดเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคลังจังหวัด และเจ้าหน้าที่เทศบาลฯ มาแจ้งให้ทราบก็ยังไม่อยากเชื่อ ทั้งนี้ หากได้รับเงินรางวัลแล้ว ก็จะเปิดบัญชีฝากธนาคารไว้ และทำบุญตามสมควร ซึ่งอันดับแรกนี้ จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้น้องสาวที่เสียชีวิตไปเมื่อ 2 ปีก่อนตามที่เคยตั้งใจไว้
นางเหน็งกล่าวว่า จากการที่ตนโชคดีแจ็คพอตแตกได้รับรางวัลที่ 1 รับเงินล้านครั้งนี้ คงเป็นเพราะอานิสงส์จากการที่เป็นคนชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือสังคมและให้ทานอยู่เสมอ โดยก่อนหน้านั้นก็เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ และพี่น้องรวม 9 คน จนพ่อแม่เสียชีวิตหมด จึงครองตนเป็นโสด ไม่เคยแต่งงาน อาศัยอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว ก็คอยเลี้ยงหลาน เลี้ยงเหลน เพราะกลางวันน้องๆ และหลาน ก็จะออกไปทำนา ไปหาทำงาน ตนก็คอยเป็นคนเลี้ยงหลาน เหลน แทนพ่อแม่เขา จึงไม่มีงานทำ นอกจากปลูกผักสวนครัวเล็กๆน้อยๆ เก็บขายตามหมู่บ้าน พอมีรายได้วันละ 20–30 บาท ให้หลานเหลน ซื้อขนมกิน ขณะที่รายได้ส่วนหนึ่งก็ได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท ก็พอเป็นค่าใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟพอดี
Advertisement Replay Ad
อย่างไรก็ตาม โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ได้เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านที่ฐานะยากจน รายได้ต่ำ โดยตนได้รับเดือนละ 300 บาท ซึ่งได้นำไปรูดเพื่อแลกสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น ปลากระป๋อง น้ำปลา ผงชูรส ผงซักฟอก ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้เป็นอย่างดี จึงอยากให้รัฐบาลจัดโครงการดีๆอย่างนี้ต่อไป
ด้านนายศักย์ ดาหาร คลังจังหวัดกาฬสินธุ์กล่าวว่า หลังได้รับการประสานจากกระทรวงการคลัง ว่านางเหน็งเป็นผู้โชคดี ซึ่งนับเป็นรายที่ 3 ที่ได้รับรางวัลแจ็คพอต เงินรางวัล 1 ล้านบาท ในรอบ 3 เดือนที่รัฐบาลจัดโครงการรูดลุ้นเงินล้านนี้ ซึ่งจะมีการมอบเงินรางวัลอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า โดยไม่หักภาษีและจะยังได้รับสิทธิ์ผู้มีรายได้น้อยตลอดไป จนถึงสิ้นสุดโครงการในรอบปี หลังจากที่เริ่มมาตั้งแต่ พ.ค.60 - เม.ย.61

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รูดลุ้นเงินล้านได้ทุกเดือน



กระทรวงการคลังกำหนดแจกจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แก่ผู้ลงทะเบียนฯ ที่ผ่านคุณสมบัติ ในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบรี ปทุมธานี  อยุธยา สมุทรปราการ  สมุทรสาคร นครปฐม โดยให้นำบัตรประจำตัวประชาชน และหลักฐานการลงทะเบียนฯ มาติดต่อรับบัตรฯ ได้ที่หน่วยงานที่ได้ลงทะเบียนไว้ 
รับบัตรด้วยตัวเอง
หลักฐานการรับบัตร
  • บัตรประชาชนตัวจริง
  • หลักฐานการลงทะเบียน
มอบอำนาจให้ผู้อื่นรับแทน
หากไม่สะดวกไปรับด้วยตัวเอง  สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปรับแทนได้
หลักฐานการรับบัตร
  • ใบมอบฉันทะ ระบุชื่อของผู้มอบฯ และผู้รับมอบฯ พร้อมลงนาม
  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้มอบฯ และผู้รับมอบฯ ลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง
  • บัตรประชาชนตัวจริงของผู้รับมอบฯ
  • หลักฐานการลงทะเบียนฯ ของผู้มอบฯ

http://www.ktb.co.th/promotion/detail/714

คำแนะนำ : ผู้รับบัตรควรตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลบนหน้าบัตรที่ได้รับมอบจากเจ้าหน้าที่ ทั้ง รูปถ่าย  ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด  ว่าถูกต้องก่อนลงนามรับบัตร  หากพบข้อผิดพลาดให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่
 
รูปแบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มี 2 รูปแบบ 
แบบที่ 1 บัตร Hybrid 2 Chips เป็น Contact Chip และ Contactless Chip  และแถบแม่เหล็ก โดย Contactless Chip  จะเป็นไปตามมาตรฐานกลางระบบตั๋วร่วม (แมงมุม)  ผู้ที่ได้รับบัตรรูปแบบนี้ ได้แก่ผู้มีสิทธิที่ลงทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบรี ปทุมธานี สมุทรสาคร  นครปฐม อยุธยา
 
 
แบบที่ 2 บัตร EMV เป็น Contact Chip และแถบแม่เหล็ก ผู้ที่ได้รับบัตรประเภทนี้ ได้แก่ผู้มีสิทธิที่ลงทะเบียนนอกเขตจังหวัดดังกล่าว (นอกเขตกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบรี ปทุมธานี สมุทรสาคร  นครปฐม อยุธยา)
 
  
ข้อแนะนำการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
  1. บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นสิทธิเฉพาะตัวของบุคคลที่ระบุบนหน้าบัตรเท่านั้น  เว้นแต่ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางได้ สามารถให้ผู้ดูแลเป็นผู้ใชเสิทธิแทนได้ตามเงื่อนไข
  2. กรุณาเก็บรักษาบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นอย่างดี เพื่อประโยชน์ในการรับสวัสดิการจากภาครัฐบาล
  3. หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่าให้ผู้อื่นนำบัตรไปใช้ เจ้าของบัตรจะถูกตัดสิทธิในบัตรและผู้ที่นำบัตรผู้อื่นไปใช้ชดใช้เงินคืนแก่ทางราชการ
 
การใช้สิทธิ
ตั้งแต่  1 ตุลาคม 2560 เป็นค้นไป ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ   สามารถใช้สิทธิตามวงเงินในบัตรฯ ที่ผู้ถือบัตรฯ เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานหรือร้านค้าที่กำหนด เมื่อชำระค่าสินค้าและบริการแล้ววงเงินในบัตรฯจะลดลงตามยอดที่ใช้จ่าย  และเมื่อถึงวันที่ 1 ของทุกเดือน* วงเงินจะถูกปรับเป็นค่าเริ่มต้นของวงเงินแต่ละสวัสดิการเสมอ  ซึ่งวงเงินคงเหลือของเดือนที่ผ่านมาจะไม่มีการสะสมในเดือนถัดไป และไม่สามารถถอนวงเงินสวัสดิการออกจากบัตรฯ เป็นเงินสดได้

สำหรับผู้ลงทะเบียนฯ ที่ผ่านคุณสมบัติในเขตกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม อยุธยา ที่กำหนดให้รับบัตรและใช้บัตรได้ทันทีในวันที่ 17 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป จะมีการชดเชย โดยยกยอดแต่ละประเภทสวัสดิการที่คงเหลือจากการใช้จ่ายในเดือนตุลาคม 2560 ให้ใปใช้ต่อได้ในเดือนพฤศจิกายน 2560 
                                             
 *ยกเว้นวงเงินส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม วงเงินจะปรับเป็นค่าเริ่มต้นทุกวันที่ 1 ของทุก 3 เดือน

แหล่งข้อมูล จาก http://www.ktb.co.th/promotion/detail/714