วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

'ประยุทธ์' ผุดไอเดียเปิดเว็บไซต์ไทยนิยม ฟังเสียงปชช.

"นายกรัฐมนตรี" ผุดไอเดียเปิดเว็บไซต์ไทยนิยมฟังเสียงปชช. คิกออฟ จ.นครปฐมพรุ่งนี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งจะลงพื้นที่พบปะประชาชนครั้งแรกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ว่า รัฐบาลเปิดช่องทางในการรับฟังความเห็นประชาชน โดยจะเปิดเว็บไซต์ไทยนิยม เพื่อจะได้ทราบความต้องการของประชาชน จะได้รู้ว่าที่ประชาชนบอกว่าเศรษฐกิจตกต่ำนั้น ตกต่ำอย่างไร
นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้จะมีการรับฟังความเห็นของแต่ละคนว่ามีความเดือนร้อนอย่างไร เช่น การประกอบอาชีพ รายได้ แต่ยอมรับว่าการแก้ไขปัญหาพืชผลการเกษตรตกต่ำนั้นเป็นเรื่องยาก โดยต้องแก้ไขทั้งระบบ แต่รัฐบาลจะดูว่าชาวบ้านหากินไม่สะดวกเพราะอะไร เกิดจากการจัดระเบียบของรัฐบาลใช่หรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด พร้อมกับทำ Big data เป็นฐานข้อมูลของหน่วยราชการ มาวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหา ขอให้ทุกคนส่งข้อมูลเข้ามา แต่อย่าด่า เพราะการด่าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเริ่มต้นลงพื้นที่ขับเคลื่อนไทยนิยม โดยตนจะลงพื้นที่ จ.นครปฐม  ซึ่งรัฐจะต้องเตรียมข้อมูลพื้นฐานในเรื่องพื้นที่ น้ำ แผนพัฒนาภาค กลุ่มจังหวัด และพัฒนาจังหวัดที่ได้วางแผนไว้แล้วในยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมกับถามถึงความต้องการของชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ โดยมุ่ง 1.สร้างความเข้าใจ 2.หาเมนูที่เหมาะสมแก่ชาวบ้าน ถ้าเขาคิดไม่ออก เราก็จะเสนอแนวทางที่เหมาะสมให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องเปลี่ยนตัวเองทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งขึ้น สำหรับการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมฯ ระยะที่ 1 ทำอย่างไรจะให้ประชาชนที่มีรายได้ต่ำว่า 1 แสนบาทจะมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยต้องมีรายได้ที่มากกว่า 1 แสน ให้ไปถึง 3 แสนต่อปี ซึ่งแต่ละกลุ่มงานจะต้องเข้าไปดูปัญหา
"จะต้องไปดูว่าชาวบ้านลำบากตรงไหน ไม่ใช่จะพูดรวมๆแค่ว่ายังยากจน แล้วที่ผ่านมาเคยทำอะไรอย่างที่รัฐบาลนี้ทำหรือไม่ โครงสร้างเหล่านี้ทำยาก ต้องใช้เวลาพอสมควร และต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ด้วย การลงพื้นที่ผมเน้น 1.การสร้างความรับรู้ รับทราบปัญหาและความต้องการของประชาชนโดยตรง ทุกตำบล หมู่บ้าน ซึ่งชุดที่ลงไปนั้น จะต้องนำข้อมูลของรัฐบาลลงไปให้เขาเห็น เพราะบางครั้งเขายังไม่รับรู้ และยังไม่พัฒนาตัวเอง ดังนั้นเราจึงต้องเอาโครงการและงบประมาณลงไป แต่ต้องยั่งยืน ไม่ใช่ให้ทีเดียวแล้วเลิก ประชาชนไม่เข้มแข็ง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า 2. เน้นความโปรงใส โดยทุกคนต้องช่วยกันดู เพราะมีหลายประเด็นต้องดูอย่างถี่ถ้วน ทั้งการจัดทำงบประมาณ เวทีประชาคม โดยต้องรับฟังมติคนส่วนใหญ่ว่าต้องการอะไร พร้อมกับดูแลคนส่วนน้อย อย่าให้มีการทุจริต หากพบการทุจริตในส่วนราชการจะต้องลงโทษ ซึ่งประชาชนต้องรักษาสิทธิ์ตัวเอง ตนจะไม่ยอมให้ส่วนราชการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทุจริตเป็นอันขาด เพราะนี่คืออนาคตของประเทศที่เรากำหนดเองได้ 3.เน้นการทำความดีร่วมกัน เพื่อประชาชนและประเทศชาติ 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่ จ.นครปฐมในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นี้ จะเริ่มต้นพูดถึงโครงการไทยนิยมฯ จึงขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้เรียกว่าเป็นการเปิดโครงการฯ แต่ถือเป็นการพบปะชาวบ้านมากกว่า เพื่อเริ่มต้นให้ชุดต่างๆในคณะกรรมการไทยนิยมฯลงพื้นที่ โดยมีทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฯลฯ ซึ่งบางพื้นที่ที่ทำการเกษตรแล้วเกิดความเสียหาย จะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อความยั่งยืน โดยเสริมเรื่องอื่นเช่น การท่องเที่ยว กีฬา เป็นต้น
"ทำแบบนี้ยากกว่าการตั้งวงเงินแล้วให้ๆๆๆ การทำแบบนั้น ทำให้ราคาสินค้าเกษตรผิดไปหมด อยากให้สังคมช่วยคิดต่อด้วยว่าการหาเสียงเลือกตั้งต่อไปนี้ จะหาเสียงโดยเสนอวงเงิน ตัวเลข ราคาสินค้าเกษตร ควรจะทำหรือไม่ ผมว่ามันไม่น่าจะถูกต้อง มีอ้างว่าได้ราคาเท่านี้เท่าโน้นมันทำไม่ได้ เพราะในข้อเท็จจริงจะต้องใช้เงินรัฐไปอุดหนุน ที่ผ่านมาก็เสียหายหลายประการ อย่าให้มีอีกเลย วันนี้ก็อาจมีการเดินสายอยู่ข้างล่าง ว่าจะทำให้ข้าวราคาเท่านี้เท่าโน้น แล้วผมก็ต้องมาแก้แทบตาย จนหัวจะผุอยู่แล้ว เพราะการจะกำหนดราคาเอง เราต้องประเมินศักยภาพของเราด้วย หากยังขยายความขัดแย้งเช่นทุกวันนี้ คงไม่มีประเทศไหนฟังคนไทย ซึ่งจะส่งผลให้ศักยภาพของประเทศลดลง ต่อให้ไทยปลูกข้าวประเทศเดียวในโลก ถ้าต่างประเทศไม่ซื้อก็จบ อย่างไรก็ตาม การเดินทางไป จ.นครปฐม ผมจะไปดูหลายอย่าง เพื่อกลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้รายได้ของชาวบ้านดีขึ้น" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
แหล่งข้อมูล  กรุงเทพธุรกิจ

ครม. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ Big Rock ครั้งที่ 4



ครม. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ Big Rock ครั้งที่ 4
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ Big Rock ครั้งที่ 4 โดยโครงการของกระทรวงดิจิทัลฯ ได้แก่ โครงการขยายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต 598 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการขยายโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) เพื่ออินเตอร์เนตความเร็วสูงไปยังโรงเรียนที่ยังไม่มีโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) อีกประมาณ 3,196 แห่ง จากโรงเรียนที่ยังไม่มีโครงข่ายใยแก้วนำแสงจำนวน 4,200 แห่ง ภายในสิ้นปี 2561 โดยสาเหตุที่โครงการดังกล่าวทำได้ 3,196 แห่ง เพราะโรงเรียนที่เหลืออยู่ห่างไกลเกินไปที่จะลากสาย Fiber Optic เข้าไปได้ และบางแห่งใช้ระบบดาวเทียมอยู่ หรือบางที่ต้องลากสายมากกว่า 10 กิโลเมตรขึ้นไป ซึ่งจะเป็นการดำเนินงานในเฟสที่ 2 ต่อไป รวมทั้งการนำโครงข่ายใยแก้วนำแสงเชื่อมต่อไปยังพื้นที่โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุข 812 แห่ง จากที่เหลือ 954 แห่ง ตลอดจน โครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) งบประมาณ 788 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเมืองอัจฉริยะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ทั้งนี้ รวมงบประมาณที่กระทรวงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รับ 2,254 ล้านบาท
ส่วนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เสนอโครงการขอรับการสนับสนุน รวมงบประมาณ 3,292 ล้านบาท จำนวน 14 โครงการ เช่น โครงการธนาคารทรัพยากรชีวภาพ แห่งชาติเพื่ออนุรักษ์วิจัยและใช้ประโยชน์ ในงบประมาณ 760 ล้านบาท และโครงการยกระดับ OTOP ใน 10 จังหวัดที่ยากจน ในงบประมาณ 440 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังมีงบประมาณที่เหลืออีกประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานอื่นๆ ที่มีความพร้อม และสามารถดำเนินการได้ภายในเดือน มี.ค.นี้ สามารถขอรับงบส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ

ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : อรจินดา บุรสมบูรณ์ผู้เรียบเรียง : อรจินดา บุรสมบูรณ์แหล่งที่มา : สำนักข่าว

ครม.ไฟเขียวยกเลิก 'ไทยแลนด์เกตเวย์'

ครม.เห็นชอบยกเลิก "โครงการไทยแลนด์เกตเวย์" วงเงิน 1,102 ล้านบาท พร้อมปรับแผนใช้งบ 800 ล้านบาทเพื่อยกระดับการบริการภาครัฐ

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบยกเลิกโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ (ไทยแลนด์เกตเวย์) วงเงิน 1,102 ล้านบาท เนื่องจากแต่ละหน่วยงานใช้งบองค์กรดำเนินการแล้ว จึงให้ปรับแผนการใช้งบประมาณดังกล่าวเปลี่ยนมาใช้ดำเนินโครงการขับเคลื่อนการยกระดับการบริการภาครัฐ โดยขอใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) 3 โครงการ คือ 
1.การพัฒนาระบบการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ วงเงิน 250 ล้านบาท
2.การพัฒนาระบบติดตามการให้บริการ วงเงิน 400 ล้านบาท ทำให้ประชาชนสามารถติดตามการให้บริการภาครัฐผ่านระบบออนไลน์ได้ หลังติดต่องานคืบหน้าอยู่ในส่วนงานใดจะเสร็จเมื่อไร โดยไม่มีการดึงเรื่องค้างไว้กับเจ้าหน้าที่ และ 
3.การพัฒนาระบบการจองคิวกลาง วงเงิน 150 ล้านบาท เช่น การติดต่อกรมที่ดินเพื่อจองคิวในการโอนมรดก ประชาชนสามารถจองคิวล่วงหน้าก่อนมาใช้บริการได้ เพื่อความสะดวกรวดเร็วผ่านระบบออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 โครงการจะดำเนินการปี 2561-2563 รวม 800 ล้านบาท ส่วนวงเงินที่เหลืออีก 300 ล้านบาทให้นำส่งคืนคลัง
แหล่งข้อมูล กรุงเทพธุรกิจ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

“ยุติธรรม” เตรียมพร้อมขับเคลื่อน “ไทยนิยม ยั่งยืน”

ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องสมุดสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมแนวทางของกระทรวงยุติธรรมตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน”
เพื่อกำหนดกรอบการดำเนินการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
ทั้งในระดับส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้มีทิศทางการขับเคลื่อนที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม
สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศไทยสู่ความยั่งยืน
โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม
พัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐที่มุ่งพัฒนา
และส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐ ได้โดยง่าย และรวดเร็ว
ทั้งนี้ โครงการไทยนิยม ยั่งยืน มุ่งขับเคลื่อนงานสำคัญ ๑๐ ด้าน ดังนี้
๑) สัญญาประชาคมผูกใจไทยเป็นหนึ่ง  ๒) คนไทยไม่ทิ้งกัน
๓) ชุมชนอยู่ดีมีสุข ๔) วิถีไทยวิถีพอเพียง
๕) รู้สิทธิ รู้หน้าที่ ๖) รู้กลไกการบริหารราชการ
๗) รู้รักประชาธิปไตยไทยนิยม ๘) รู้เท่าทันเทคโนโลยี
๙) ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด และ ๑๐) งานตามภารกิจของส่วนราชการ/หน่วยงาน (Function)

วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เที่ยวลดหย่อนภาษี เมืองรอง 55 จังหวัด 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 61


“นพ.สุรเดช”สนองนโยบาย“บิ๊กตู่”มีลูกเพื่อชาติ เตรียมเพิ่มเงินค่าคลอดลูกเป็น 13,000 บาท เงินสงเคราะห์บุตรจาก 400 บาทเป็น 600 บาท หวังจูงใจเพิ่มประชากรวัยทำงาน

 
          13 ก.พ.2561 - นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 ส่งผลต่ออัตราส่วน ของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลปัจจุบันจึงได้ให้ความสำคัญกับนโยบายสนับสนุนประชากรของประเทศ ให้มีบุตรเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการเกิดของประชากรที่กำลังลดลงรวมถึงสร้างกำลังแรงงานในอนาคต สำนักงานประกันสังคม ได้มีติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น อาทิ จำนวนผู้ประกันตนหรือสถานประกอบการที่ลดลง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของกองทุนประกันสังคม เป็นต้น 
         นพ.สุรเดช กล่าวต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนี้สำนักงานประกันสังคม จึงได้ดำเนินการวางนโยบายพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐ และของกระทรวงแรงงานโดย พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสำคัญในการดูแลทุกข์สุขของผู้ประกันตน สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาสวัสดิการ และคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน สร้างหลักประกันทางสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียม และสามารถคุ้มครองแรงงานได้อย่างทั่วถึง 
         เลขาธิการ สปส. กล่าวอีกว่า  โดยการพัฒนาด้านสิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร โดยได้มีการปรับปรุงกฎหมายประกันสังคมให้มีสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมสำหรับ ลูกจ้าง ผู้ประกันตนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ได้ เพิ่ม สิทธิกรณีคลอดบุตร จาก เดิม ผู้ประกันตนหญิง มีสิทธิได้รับไม่เกิน 2 ครั้ง เหมาจ่าย ครั้งละ 13,000 บาท + เงินสงเคราะห์ การหยุดงาน 90 วัน เป็น ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับไม่จำกัดจำนวนครั้งละ 13,000 บาท + เงินสงเคราะห์การหยุดงาน 90 วัน ไม่เกิน 2 ครั้ง 
          เลขาธิการ สปส. กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร จากเดิม บุตรอายุ 0 – 6 ปี ได้คราวละไม่เกิน 2 คน เหมาจ่ายรายเดือน จากเดิมเดือนละ 400 บาท เป็น 600 บาท ให้มีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร คราวละไม่เกิน 3 คน (สำหรับกรณีเหมาจ่ายรายเดือนดังกล่าว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการเพื่อนำร่างกฎกระทรวงเข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาและนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเพื่อประกาศใช้ต่อไป)
        "การพัฒนาสิทธิประโยชน์   ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มกำลังแรงงานในครั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมคาดว่าจะเป็นแรงจูงใจส่วนหนึ่งของผู้ประกันตน ในการที่จะสร้างครอบครัว เพื่อเพิ่มประชากรวัยทำงาน รวมถึงเพิ่มกำลังแรงงานในอนาคต ซึ่งจะช่วยปรับโครงสร้างประชากรของประเทศให้มีความสมดุล ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุด ของลูกจ้าง ผู้ประกันตน ให้ได้รับบริการ ที่ดีและเป็นที่พึ่งของลูกจ้าง ผู้ประกันตนอย่างแท้จริง ต่อไป"นพ.สุรเดช กล่าวในที่สุด
           

วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

“คสช.” จวกมือดีปล่อยภาพม็อบอยากเลือกตั้ง หลังดิสเครดิตรัฐบาล วอนคนไทยมีวิจารณญาณ


เมื่อวันที่13 กุมภาพันธ์ พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ในฐานะทีมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีการชุมนุมประท้วง บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมสถานการณ์ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุม และคลี่คลายสถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในระยะเวลาที่เหมาะสม แต่ภายหลังปรากฏว่ามีการนำภาพการชุมนุมประท้วง มาเผยแพร่ให้เป็นเหมือนเหตุการณ์ปัจจุบัน และบิดเบือนว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐปกปิดข้อมูลข่าวสารนี้ ว่า คสช.ขอชี้แจงว่าเป็นการกระทำดังกล่าวของผู้ไม่ประสงค์ดี ต้องการสร้างกระแสความสับสน ตื่นตระหนก ประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย และเชื่อมั่นในการบริหารราชการของรัฐบาล ดังนั้น คสช.ขอให้พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนทุกท่านได้เฝ้าติดตามข้อมูลข่าวสารจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมีวิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสารในช่องทางอื่นๆ ซึ่งในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ คสช.ยังคงต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย สนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล สร้างความสงบเรียบร้อยให้กับบ้านเมือง และนำไปสู่โรดแมปที่วางไว้

หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 09.00 น.ที่ อำเภอเมือง  จังหวัดปัตตานี
                พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 13 ณ ห้องประชุมกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ลูกเสือทำความดีมีจิตอาสา มีความสามัคคีสมานฉันท์อยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างสันติสุข จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 7 เมษายน 2561 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย พลตำรวจตรีธัมมศักดิ์ วาสะศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายศรีชัย พรประชาธรรม ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้, ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบุคลากรที่รับผิดชอบแผนงานแต่ละฝ่าย
               ช่วงบ่ายเป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการโรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีการศึกษา 2561 เพื่อเปิดโอกาสให้ครอบครัว ผู้มีรายน้อยได้รับโอกาสทางการศึกษามากขึ้น ตั้งเป้า 1 อำเภอให้มีโรงเรียนระดับประถมศึกษา 1 โรงเรียน และระดับมัธยมศึกษา 1 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 37 อำเภอ จำนวน 73 โรงเรียน ขณะนี้มีนักเรียนสมัครเข้าร่วมโครงการรอบแรกจำนวน 4,874 คน เปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการรอบสอง วันที่ 13 - 18 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

ไทย-ลาวกระชับร่วมมือด้านความมั่นคง เข้มร่วมติดตามป้องกันภัยข้ามชาติ

ทย-ลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เข้มร่วมติดตามป้องกันภัยข้ามชาติ รุกขยายผลคุมทะเบียนการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่

\

เมื่อ 12 ก.พ. 61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไปเยือนสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ นครเวียงจันทน์ ตามคำเชิญของรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อพัฒนาสัมพันธ์และสานต่อความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน 

โดย พล.อ.ประวิตร และคณะได้เข้าเยี่ยมคาราวะ ฯพณฯ ทองลุน สีลุลิด นรม.สปป.ลาว ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยหารือร่วมกันถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ที่มีพัฒนาการแน่นแฟ้นและเกื้อกูลกันมากขึ้น ทั้งด้านพลังงาน การคมนาคม ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านการทหารโดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง ที่ต้องรับมือกับการเผชิญหน้า จากภัยยาเสพติด อาชญกรรมข้ามชาติ และการก่อการร้าย

หลังจากนั้น ได้เดินทางเข้าพบ ท่าน สอนไช สีพันดอน รองนรม.สปป.ลาว ณ โรงแรมดอนจันทร์ โดยหารือร่วมกัน ถึงแนวทางสานต่อความร่วมมือแก้ปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงที่สำคัญของทั้งสองประเทศ ทั้งปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย และอาชญกรรมข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือกระทำผิดมากขึ้น โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง ถึงความจำเป็นต้องจัดทำและพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ร่วมกัน เพื่อร่วมกันตรวจสอบ ติดตามการกระทำผิดที่เป็นปัญหาความมั่นคงของทั้งสองประเทศ 

ต่อจากนั้น รองนรม.และรมว.กห.และประธาน. กสทช.ได้เป็นผู้แทนฝ่ายไทย ร่วมกับ รองนรม.สปป.ลาว และรมว.กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม กระทำพิธีส่งมอบระบบการลงทะเบียนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้กับสปป.ลาว ซึ่งสามารถใช้เป็นระบบตรวจสอบอัตลักษณ์ของผู้ใช้บริการ ทั้งลายนิ้วมือและใบหน้า ให้ถูกต้องตรงกับบัตรประชาชน ในการแบ่งแยกและติดตามคนบ่ดีและปกป้องคนดีต่อไป 

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเชื่อมั่นว่า ความริเริ่มระหว่าง สปป.ลาว และ ไทยโดยสำนักงาน กสทช. ในการผลักดันการลงทะเบียนผู้ใช้บริการของทั้งสองประเทศให้ทันสมัยและปลอดภัยครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญ ของความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ที่จะตามมา. ซึ่งการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงในด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศและประเทศสมาชิกอาเซียนในภาพรวม


แหล่งข้อมูล กรุงเทพธุรกิจ

"คสช." กำชับทุกภาคส่วนอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางร่วมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว"


 



































รวมภาพ จากแหล่งข่าวต่าง ๆ
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. เปิดเผยผลการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มี พล.อ. สสิน ทองภักดี รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ประธาน โดยได้เน้นย้ำให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เข้ามาท่องเที่ยวในงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด รวมถึงการประชาสัมพันธ์กิจกรรมภายในงานและเชิญชวนแต่งกายด้วยชุดไทยย้อนยุคเพื่อร่วมกันรำลึกถึงวิถีแห่งความเป็นไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ​​
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ทั้งนี้การจัดงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ในขณะนี้ มีประชาชนให้ความสนใจเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมากเตรียมตัวที่จะเข้ามาสัมผัสบรรยากาศย้อนยุคและร่วมในกิจกรรมที่จัดแสดงภายในงาน นับเป็นการจัดงานที่สร้างความสุขให้กับประชาชนอย่างเห็นได้ชัด
แหล่งข้อมูล กรุงเทพธุรกิจ